สกู๊ป สัมภาษณ์
ผู้มีส่วนร่วมจัดตั้งโครงการ
“จตุรศิลป์ นาฏยบำบัด บ้านเจ็ดเสมียน”
อาจารย์ยุทธพล วรรณะเรืองศรี
ที่ปรึกษาโครงการ
สรุปประเด็นสำคัญ: “การเรียนรู้ นวัตกรรม และการพัฒนาชุมชน”
อาจารย์ยุทธพล วรรณะเรืองศรี ปัจจุบันเป็นหัวหน้าสถานีศูนย์รับข้อมูลข่าวสาร กรมสอบสวนคดีพิเศษ จังหวัดราชบุรี และอดีตอาจารย์ช่วยสอนของสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน/มหาวิทยาลัยชีวิต ปี 2559-2561)
“วิวัฒนาการของการเรียนรู้และการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของ นวัตกรรมและเทคโนโลยี ในการขับเคลื่อนกระบวนการเหล่านี้ มหาวิทยาลัยชีวิต (สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน) ถูกนำเสนอว่าเป็นสถาบันที่แตกต่างด้วยแนวทางการสอนที่เน้นให้นักศึกษา คิดเอง ทำเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงและงานอาชีพได้ นอกจากนี้ ยังมีการยกตัวอย่างนวัตกรรมการพัฒนาชุมชนที่นำเอาวัฒนธรรมและสุขภาวะมาผสมผสานกันอย่างน่าสนใจ”
ประเด็นสำคัญและข้อเท็จจริง:
วิวัฒนาการของการเรียนการสอนและการพัฒนาชุมชน:
อดีต: การสอนพัฒนาชุมชนเป็นแบบ “พื้น ๆ” เน้นให้นักศึกษานำความรู้ไปช่วยงานในชุมชนได้โดยตรง
ปัจจุบัน: โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก มี “innovate” การพัฒนา และการสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ เกิดขึ้น จำเป็นต้องนำนวัตกรรมมาช่วยในการทำงานให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องเทคโนโลยี สื่อการเรียนรู้ และการพัฒนาทางสังคม
อนาคต: การเรียนการสอนต้องให้เทคโนโลยีและผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ
บทบาทของมหาวิทยาลัยชีวิต (สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน):
ผลิตบุคลากรคุณภาพ: คุณยุทธพลระบุว่า ในช่วงที่ท่านสอน (ปี 2559-2561) นักศึกษาที่จบไปหลายคนได้ออกไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สมาชิกสภาเทศบาล หรือประกอบธุรกิจส่วนตัว ซึ่งช่วยพัฒนาประเทศชาติได้มากพอสมควร
ความแตกต่างในการเรียนการสอน:เน้นการคิดและสร้างสรรค์ด้วยตนเอง
“มหาวิทยาลัยชีวิตเน้นให้โอกาสนักศึกษาคิดแล้วก็สร้างสรรค์ตามแนวภารกิจที่ตัวเองได้รับมอบหมาย” และ “มหาวิทยาลัยชีวิตสอนให้นักศึกษาคิดเองทำเองใช้ประสบการณ์จริง”
ส่งเสริมการ “คิดนอกกรอบ” แตกต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไปที่อาจารย์เป็นผู้มอบความรู้และนักศึกษาไม่ค่อยได้คิดเอง แต่มหาวิทยาลัยชีวิตพยายามให้นักศึกษา “คิดเอง ทำเอง”เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันและการทำงาน ผลงานหรือบทเรียนที่ออกมา นักศึกษาสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและในการทำงานได้จริง
เหมือนการเรียนการสอนในต่างประเทศ: “เรามีระบบการสอนที่หลากหลายแล้วก็เป็นระบบการสอนซึ่งคล้ายๆ กับต่างประเทศ…อาจารย์ก็จะให้แค่โจทย์แล้วทุกคนก็ไปคิดกันเอง”
สื่อการเรียนการสอน สถาบันฯ สามารถผลิตสื่อการเรียนการสอนได้ดีอยู่แล้ว
การมีส่วนร่วม: กระบวนการเรียนรู้จะต้องทำให้ระหว่างชุมชนกับผู้เรียนมีส่วนร่วมกันหลักสูตรใหม่ สถาบันฯ ยังคงเปิดรับนักศึกษาใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลักสูตร “นวัตกรรมการพัฒนา” ซึ่งคุณยุทธพลมองว่าเป็นหลักสูตรที่ไม่กี่มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเปิดสอน
ความสำคัญของนวัตกรรมและเทคโนโลยี:
สร้างสรรค์สิ่งใหม่ “ตัว innovate หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เนี่ย มันทำให้เกิดกระบวนการสร้างสรรค์” สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาชุมชน การทำงาน และกระบวนการต่างๆ เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน “นวัตกรรมใหม่ๆ จะเป็นการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ เป็นการสร้างสรรค์วิธีคิดการทำงานใหม่ๆ เพื่อให้เกิดผลดีกับการทำงาน”
เทคโนโลยีทำให้การทำงานง่ายขึ้น “เครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานง่ายขึ้นไม่ซับซ้อน” และสามารถใช้เทคโนโลยีสื่อสารเพื่อสร้างนวัตกรรมและการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ส่งผลงานถึงชาวบ้านได้เร็วขึ้น
ตัวอย่างนวัตกรรมการพัฒนาชุมชน “นาฏยศิลปบำบัด” ที่ตำบล 7 เสมียน
มีแนวคิดเพื่อเป็นการนำ “วัฒนธรรม” (การร่ายรำ) มาผสมผสานกับ “สุขภาวะ” (กายภาพบำบัด) มีที่มาคือสมัยก่อนการออกกำลังกายจะเป็นแบบพื้นฐาน เช่น up & down, aerobic แต่นวัตกรรมใหม่คิดใหม่ นำการร่ายรำมาบวกกับท่ากายภาพบำบัดก่อนการออกกำลังกาย จัดเป็นโครงการ “นาฏยศิลปบำบัด” ซึ่งหมายถึงนาฏศิลป์บวกกายภาพบำบัด
เป็นการออกกำลังกายรูปแบบใหม่ที่เน้นการเหยียดยืด เกร็ง แกว่ง ยก เหมาะสำหรับคนทุกวัย (ผู้สูงอายุ, เด็ก) และไม่ทำให้เครียดผลตอบรับ ผู้เข้าร่วมหลายท่านต้องการกลับมาเรียนอีก โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคซึมเศร้าบางรายอาการดีขึ้นและหายจากโรค เนื่องจาก “เขาเข้ามาสัมผัสกับการเรียนการสอนที่เราทำขึ้นใหม่ เนี่ย ปรากฏว่าท่านนั้นหาย คนที่เป็นโรคซึมเศร้าหาย” ทำให้ผู้จัดต้องจัดกิจกรรมนี้ขึ้นอีกในเดือนถัดไป
โครงการในอนาคต:
การใช้เทคโนโลยีสื่อสารในชุมชนเพื่อสร้างสรรค์งานและอำนวยความสะดวก
วิสาหกิจชุมชนคชาวบ้าน 7 เสมียน จะจัดอบรมให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้เรียนรู้เรื่องการใช้เทคโนโลยีเร็วๆ นี้ สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนอาจจะเปิดการเรียนการสอนให้กับชาวบ้านในพื้นที่ได้ในเร็วๆ นี้ด้วย
คุณดวงใจ เอี่ยมสะอาด
ผู้ร่วมจัดตั้งโครงการ
สรุปประเด็นสำคัญ นวัตกรรม ร่ายรำประกอบสุขภาวะ และคุณค่าของสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
1. นวัตกรรมการออกกำลังกาย ร่ายรำประกอบสุขภาวะ ในตำบลเจ็ดเสมียน
ที่มาและแรงบันดาลใจ ตำบลเจ็ดเสมียนมี 4 ชาติพันธุ์ ได้แก่ เขมร, ไทยพื้นถิ่น, ลาว, และจีน ที่อยู่ร่วมกันอย่างเอื้ออาทร ผู้นำชุมชนเล็งเห็นความสำคัญของสุขภาพกายและใจ จึงต้องการสร้างนวัตกรรมการออกกำลังกายที่เชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและภูมิปัญญาของคนในชุมชน โดยนำ การร่ายรำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะและอัตลักษณ์ของทั้ง 4 ชาติพันธุ์มาปรับใช้การออกแบบและพัฒนา นวัตกรรมนี้ได้รับการออกแบบโดยครูนาฏศิลป์จากนครปฐม ทำให้เป็นไปตามหลักศิลปะการรำโดยตรง มีการนำแกนนำประมาณ 30 คนเข้ารับการฝึกอบรม 6 ครั้ง ซึ่งทุกคนมีความกระตือรือร้นและไม่เคยขาดเรียน จุดเด่นและผลลัพธ์ความน่าสนใจและแปลกใหม่ การรำช่วยกระตุ้นให้คนอยากออกกำลังกายมากขึ้น เพราะไม่น่าเบื่อเหมือนการออกกำลังกายแบบเดิมๆ มีผลตอบรับดีมาก
สุขภาพจิตดีขึ้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความสุขมากขึ้น ภาวะซึมเศร้าลดลง เนื่องจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนและทำกิจกรรมร่วมกัน สุขภาพกายดีขึ้น ท่ารำช่วยยืดหยุ่นและยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ลดอาการไหล่ติด ข้อติด
การรวมสามวัย นวัตกรรมนี้ดึงดูดทั้งเด็ก เยาวชน และผู้สูงอายุ (ปู่ ย่า ตา ยาย ชักชวน) ทำให้เป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์คน 3 วัย
อัตลักษณ์และภูมิปัญญา ท่ารำแฝงไว้ด้วยอัตลักษณ์ของทั้ง 4 ชาติพันธุ์ในตำบล ทำให้เป็นกิจกรรมที่มีความหมายและเชื่อมโยงกับชุมชน
การต่อยอดขยายผลสู่ชุมชน มีการเผยแพร่ผ่านวิดีโอ ทำให้มีผู้สนใจและต้องการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
สร้างอาชีพโอกาส การร่ายรำนี้สามารถนำไปประกอบอาชีพได้ และตำบลเจ็ดเสมียนได้ใช้กลุ่มนี้ในการต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียน
บรรจุในหลักสูตรโรงเรียน คุณครูจากโรงเรียนชุมชนวัดเจ็ดเสมียนและโรงเรียนชุมชนวัดสนามชัยสนใจนำไปบรรจุเป็นหลักสูตรการสอน เพื่อสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนในตำบล
ความท้าทายและวิธีแก้ไขความแข็งตึงและความท้อแท้ ผู้ที่ไม่เคยรำอาจรู้สึกท้อแท้ในช่วงแรก แต่ด้วยกำลังใจจากเพื่อนและบรรยากาศที่เป็นกันเอง ทำให้ทุกคนอยากมาเข้าร่วม แม้ไม่ได้มารำ ก็มาพูดคุย และค่อยๆ แทรกการออกกำลังกายเข้าไปทีละน้อย
การรวมกลุ่มชาติพันธุ์ อาศัยความจริงใจ ความรัก และความเอื้ออาทร โดยยึดหลักว่า ที่นี่คือเจ็ดเสมียน ไม่ใช่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีการหาแกนนำในแต่ละกลุ่มเพื่อกระจายข้อมูลที่ถูกต้อง ทำให้สามารถรวมคนมาเข้าร่วมกิจกรรมได้ง่าย
2. ประสบการณ์และการเชิญชวนจากศิษย์เก่าสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
แรงจูงใจในการศึกษาต่อ คุณดวงใจ เอี่ยมสะอาด ศิษย์เก่าสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ปี 59 แม้จบเพียง ปวช. แต่ได้รับการชักชวนจาก พี่ปู ให้มาเรียนต่อ เพื่อเพิ่มพูนความรู้และกระบวนการคิดในการดูแลคนในชุมชน
บรรยากาศการเรียนรู้ที่ประทับใจไม่รู้สึกอึดอัด มันเป็นสถานที่ที่ไม่รู้สึกอึดอัด มันมีความสุข
ความสัมพันธ์ที่ดี ได้เจอเพื่อนและอาจารย์ที่ดี บรรยากาศเหมือนบ้าน มีความสุขเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง การเรียนรู้ตนเอง วิชาการที่สถาบันสอนให้ รู้จัดตนเอง เรียนรู้ตนเอง และค้นหาตนเอง ทำให้ภูมิใจในตนเองและสามารถนำความรู้กลับมาดูแลชุมชนได้
อาจารย์และเพื่อน อาจารย์มีความรักความเมตตา นักศึกษารู้สึกอยากมาเจออาจารย์และเพื่อนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์
บรรยากาศชุมชนริมคลอง ประทับใจบรรยากาศที่มีเรือขายอาหารผ่านไปมา ซึ่งเป็นภาพที่หาดูได้ยากในชีวิตปกติ
คุณค่าของการศึกษาการคิดอย่างเป็นระบบ สถาบันช่วยให้มี กรอบ ในการคิด ทำให้ความคิดที่เป็นระบบมากขึ้น สามารถนำไปใช้ในการทำงานกับชุมชนและการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สร้างความยั่งยืน การเรียนที่นี่ช่วย ตั้งหลักชีวิต และสร้างความยั่งยืนให้กับตนเอง
ไม่จำกัดอายุ ไม่มีใครแก่เกิน คุณดวงใจเองก็ไปเรียนตอนอายุ 50 กว่าปี และปัจจุบันยังอยากเรียนต่อปริญญาโท
โอกาสในชีวิต ผู้ที่จบจากสถาบันนี้ ทุกคนมีตำแหน่ง มีหน้าที่ แล้วก็ใช้วิชาชีพที่ได้เรียนมาใช้ในชุมชนได้อย่างดีจริง ๆ ยกตัวอย่างคุณดวงใจที่ได้รับความไว้วางใจจากกำนันให้กลับมารับใช้ชุมชน
คำเชิญชวน วิเศษมากๆ เลยนะ ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ สร้างความยั่งยืนให้กับตนเอง และตั้งหลักชีวิต ให้มาเรียนที่สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
สรุปแล้วสองแหล่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับการส่งเสริมสุขภาพผ่านนวัตกรรม ร่ายรำประกอบสุขภาวะ และเน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชนในการพัฒนาศักยภาพบุคคลให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์กลับมาสร้างประโยชน์ให้แก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน โดยไม่จำกัดวัยหรือพื้นเพของผู้เรียน
อาจารย์จิรพัฒน์ ปั้นประสงค์
ที่ปรึกษาโครงการ
คุณจิรพัฒน์ ปั้นประสงค์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยชีวิต สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน ได้กล่าวถึง เป้าหมายชีวิต ของเธอซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างความรู้และศักยภาพให้คนในชุมชนสามารถเลี้ยงดูตนเองได้อย่างมีความสุข โดยใช้หลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงและหลักธรรมทางพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต อาจารย์เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวางแผนชีวิต การเงิน และสุขภาพ เพื่อให้ครอบครัวและชุมชนอยู่ได้อย่างยั่งยืนและเข้มแข็ง การพัฒนาคน เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำก่อนการพัฒนาชุมชน เพื่อให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถดูแลตนเองและเป็น ผู้นำชุมชน ได้อย่างมีความสุข ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขของประเทศชาติ อาจารย์จึงเชิญชวน ให้ผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเองและชุมชนเข้าร่วมการเรียนรู้ที่มหาวิทยาลัยชีวิตนี้